หลายๆ คนคงลองลดความอ้วนมาหลายวิธี ทั้งอดโน่นนี่ หรือกินอาหารอะไรแบบเดียวกันเป็นเวลาติดๆกัน ผลที่มักจะได้เห็นทันทีคือ “น้ำหนักลดลง” เมื่อคิดว่าลดเท่าที่พอใจแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม กินแบบเดียว แล้วก็เอาน้ำหนักคู่ใจที่ลดไปกลับมาใหม่
บ้างก็พยายามไปโหมออกกำลังกาย เต้น ทำพีราติส ยกเวท เยอะแยะมาก วิ่งโหมเลย แน่นอน ร่างกายจะแข็งแรงขึ้นมา จะมีกล้ามเนื้อขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับร่างกาย แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการลดความอ้วนทั้งหมดนะ
น่าจะเคยได้ยินทฤษฎีลดความอ้วนแบบ 80/20 กันมาแล้ว: 80% คือการกิน และอีก 20% คือการออกกำลัง
แปลว่าอะไร? แปลว่าความจริงแล้ว 80% ที่เป็นปัจจัยหลักที่จะลดความอ้วนได้คือเรื่องของอาหาร เปลี่ยนซะ น้ำหนักจะลดได้เร็วกว่าไปวิ่งจนเป็นเจ้าของยิมนะจ้ะ
มาดูกันดีกว่าว่ามีใครเคยเจอประสบการณ์แบบนี้มั้ย?
1. กินแต่สลัดผักแล้วอ่ะ ทำไมไม่ผอมซะที
2. อดอาหารเย็นตลอด ไม่เห็นเกิดไรขึ้น
3. แป้งแทบไม่แตะเลย กินน้อยสุดๆ คุมแคลตลอด แต่มันก็หิวเร็วมาก แล้วก็ไม่รู้จะกินอะไรระหว่างมื้อดี
ไม่แปลกๆ เจอกันทุกคน วันนี้เราจะมาอ่านความจริงกันจากผลการวิจัยของคุณหมอที่เราไปเจอที่คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา ที่ทรีทคนไข้เบาหวานและโรคอ้วนมากกว่า 40 ปีด้วยกัน! นายแพทย์ ดร. วิศาล เยาวพงศ์ศิริ แจกหนังสือคนไข้คนละเล่ม พร้อมกระดาษก็อปปี้คัดย่อจากหนังสือมาให้อ่านเป็นการบ้าน ถือว่าคอนเฟิร์มหลายๆทฤษฎีที่ทำเอาคนงงกันมาในอินเตอร์เน็ท
มาดูกันเลยว่าจะลดอ้วนเนี่ย ต้องกินอะไร!!!
คำตอบสุดท้ายคือ กินไขมันและโปรตีนเยอะๆ ลดแป้งและน้ำตาลไปเลย ทำให้ได้นานพอสมควรจะเห็นผลทันที และจะไม่โหย มากินอาหารจำกัดแป้งและน้ำตาลกันเถอะ (Restricted Carbohydrates Diet)
ทำยังไง เช่นอะไร?
- เนื้อสัตว์ทุกชนิด ถือเป็นโปรตีน ถ้าทำให้ลีนได้ก็ดี แต่ประเด็นคือไม่ต้องลีนก็ได้!
- หนังหมู หมูกรอบ หนังไก่ ไก่ทอด ตีนหมู ตีนไก่ เครื่องใน ก็กินไป (ไม่ได้พูดเล่น)
- ไข่และเต้าหู แนะนำเป็นพิเศษ (แต่ไม่ใช่น้ำเต้าหูนะ มีน้ำตาล)
- ไส้กรอก เนย ชีส แฮม หมูก้อน สเต็ก กินไปเล้ย
- ผักก็ฟาดไปตามปกติ
- salad dressing ค่อนข้างจะ tricky หมอบอกว่าให้กินมายองเนสได้ เพราะเป็นไขมัน แต่ต้องซื้อแบบห้ามเติมน้ำตาลนะ มันจะทำให้การกินสลัดอยู่ท้องมากขึ้น
- ซุปใส ต้มกระดูกต่างๆ
- น้ำดื่มที่ไม่มีน้ำตาล เช่น น้ำเปล่า น้ำชา ไม่เติมน้ำตาล Coke Zero Pepsi Max และเครื่องดื่ม 0-แคล ที่มีมากขึ้นในตลาดแล้ว
- นมถั่วเหลือง ที่ไม่มีน้ำตาล
ทำไมกินของทอดได้?? เพราะไขมันจะช่วยให้เราอิ่ม ประเด็นคือทำให้ตัวเองจุกจนกินไม่ไหวอีกแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปอยากกินน้ำตาลอีก สำหรับคนที่ไม่ได้ติดน้ำตาลหรือติดแป้ง และกินอาหารสุขภาพอยู่แล้ว ก็ให้กินพอประมาณพอนะ
แต่ห้ามกินอะไร??
- ข้าวสวย ข้าวกล้อง ข้าวต้ม ข้าวเหนียว เส้นก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ วุ้นเส้น ลูกเดือย ธัญพืช ก็แป้งทั้งหมด
- ขนมปัง เบเกอรี่ แม้แต่อันที่เป็น whole wheat ขนมหวาน pastry ทั้งหมด
- ผลไม้ทุกชนิด (หยุดกินไปก่อนนะ)
- พืชผักที่มีคาร์บสูง เช่น แครอท ฟักทอง มัน เผือก หัวไชเท้า (พวกที่เอามาทำขนมไทยทั้งหลาย)
- ซอสปรุงรสที่มีน้ำตาล เช่น ซอสหอยนางรม ปรุงรส ซีอิ้วดำหวาน และพวกต้มพะโล้
- ซุปของก๋วยเตี๋ยว เพราะมักใส่น้ำตาลมาให้เราแล้ว บวกด้วยผลชูรสอีก
- เครื่องดื่มน้ำตาลทุกชนิด เช่น น้ำผลไม้ น้ำมะเขือเทศ นมพร่องมันเลย นมจืด (นมวัวมีนำ้ตาลอยู่แล้วตามธรรมชาติ)
- พวกน้ำจิ้มที่เคลือบหมูปิ้งไก่ปิ้ง
แต่ทำไมถึงกินแบบนี้ได้? มีเหตุผลมั้ย? มาย่อยบทความของคุณหมอกันให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยดีกว่า
โปรตีนจะทำให้เราอิ่มเร็วและนาน กินอย่างอื่นได้น้อยลง ทำติดต่อกันมากๆ ก็จะกินได้น้อยลงเองตามธรรมชาติ เนื้อก็ควรติดมันบ้าง เพราะทำให้เนื้อนิ่มและอร่อยกว่า ไขมันจะช่วยกระตุ้นผนังลำไส้ให้หลั่งสารที่บอกให้สมองเราอิ่ม และไขมันก็ทำให้อิ่มเร็วและอิ่มนานด้วย กินอาหารพวก 0% Fat ไปก็ดีหากมีโปรตีน แต่หากไม่มี Fat เลยก็มักจะไม่อร่อย หิวเร็ว ต้องมาหาอะไรกินระหว่างมื้อ ลำบากกระเป๋าตังค์
เหตุผลทางสรีระวิทยา (ขออนุญาตย่อแบบเข้าใจง่าย จากของคุณหมออีกที ชอบมาก)
- แป้งและน้ำตาลทำให้ “ตับอ่อน” หลั่ง “อินซูลิน” จำชื่อไว้ดีๆ เพราะมันคือกุญแจสำคัญเหมือนเป็นป้อมยาม เปิดปิดรั้วให้สารอาหารเข้ามาใน กระแสเลือด ของเรา กันไม่ให้สารอาหารออกเยอะไป เดี๋ยวเซลล์อดตาย และไม่ให้เข้ามาเยอะเกินไป เดี๋ยวเซลล์อ้วนตาย
>> พอกินแป้ง/น้ำตาลเยอะๆ ตับอ่อนเราผลิตอินซูลินเยอะตามไปด้วย เราก็เหมือนมีป้อมยามเยอะขึ้น เปิดรั้วบ่อยขึ้น ไขมันเข้ามาสะสมในเซลล์เยอะขึ้นนั่นเองงงง โน้วววว - ถ้าเราโหมแป้ง/น้ำตาลเข้าไปเยอะมาก ทำให้ ตับอ่อน ของเราเริ่มเพี้ยน ไม่ยอมปล่อยอินซูลินตามที่เป็น ป้องกันไม่ให้ตับอ่อนเราทำงานหนักตาย
- น้ำตาลที่เข้ามาอยู่ในเลือดนั้น 60% มาจากแป้งและน้ำตาลที่กินเข้าไป 40% มาจาก “ตับ” อย่างหลังเนี่ยออกมาจากทั้งของเก่าและของใหม่ที่ตับสังเคราะห์
>> กินอาหารที่ ไม่ใช่แค่สะสมของใหม่เท่านั้น กระตุ้นให้ตับหลั่งของเก่าออกมาด้วย - กินแป้ง/น้ำตาลเยอะก็ทำให้ไขมันจุกตับ และไขมันในเลือดสูง
>> ตับแปลงน้ำตาล ไปเป็น ไขมัน >> ไขมันถูกเร่งให้รวมตัวเป็น Triglycerides และ Cholesterol และถูกขับออกมาเป็น VLDL และเป็น LDL (ไขมันไม่ดี) อีกที วิ่งเข้าสู่กระแสเลือด
>> ถ้าไขมันที่กินเยอะกว่าที่ตับปล่อยออกมาได้ ก็จะทำให้ตับเราอ้วน หรือเรียกว่า “มันจุกตับ” นั่นเอง น่ากลัววว - หาก ตับ มีไขมันเยอะมากขนาดนี้ จะเกิดภาวะ ER Stress ทำให้ตับเปลี่ยน ไขมัน ไปเป็น น้ำตาล อีกเพื่อสร้างพลังงาน เป็นกลไกช่วยสลัดไขมันออกจากตับ เพื่อป้องกันโรคตับแข็ง และตับอักเสบ ก็วนกันแบบนี้
โอเคเราสรุปกันง่ายๆ ไม่ต้องไปพยายามกินสลัดกันจนเป็นวัว หันมากินเนื้อและไขมันแบบพอดีๆ กันด้วย จะได้ไม่โหย ไม่ต้องกินจุบจิบ แค่ตัดแป้งและน้ำตาลออกจากชีวิตไปก่อน หากลดความอ้วนได้แล้ว ก็อาจจะค่อยๆ กลับกินนิดๆ หน่อยๆ ได้ พยายามกันนะ 🙂
(สุดท้ายนี้ อยากฝากให้ไปลองหาข้อมูลเกี่ยวกับ Kitogenic Diet กันดู)